top of page
Search
  • Writer's pictureletsgotoeurope

Swiss Trip - Day2 (Titlis)


วันที่สองของการเดินทางเริ่มต้นขึ้นแบบสบายๆ โดยการไปเที่ยวภูเขาทิทลิส (Titlis) โดยจุดเด่นของภูเขานี้คือมีกระเช้าไฟฟ้าที่หมุนรอบตัวเองแบบ 360 องศา ขณะที่เคลื่อนที่ขึ้นสู่ยอดเขาด้วยนี่ล่ะค่ะ ไม่ว่าจะยืนตรงไหนก็ได้เห็นวิวสวยๆ ครบทุกมุมแน่นอน

จากลูเซิร์นสามารถเดินทางไปภูเขา Titlis ได้โดยการขึ้นรถไฟไปยังเมือง Engelberg ซึ่งเป็นที่ตั้งของภูเขาลูกนี้ (ใช้เวลาแค่ 43 นาที มีรถไฟชั่วโมงละ 1 ขบวน) พอถึงสถานีรถไฟของเมือง Engelberg แล้ว แนะนำให้ซื้อตั๋วขึ้นภูเขา Titlis ที่นี่เลยเพราะมีเจ้าหน้าที่เยอะ ไม่ต้องรอคิวนานเหมือนกับสถานีเคเบิ้ลขึ้นเขาค่ะ (ถ้ามีบัตร Swiss Pass ใช้ลดราคาได้ด้วย อย่าลืมยื่นให้เจ้าหน้าที่ดูนะคะ)

พอได้บัตรแล้วสามารถเลือกเดินทางไปยังสถานีเคเบิ้ลได้สองทางคือ เดินไปกับรอขึ้นรถบัสรับส่งที่หน้าสถานีค่ะ ระยะทางราวๆ 1 กิโลเมตรได้ สะดวกทั้งสองแบบจะเดินชมวิวไปเรื่อยๆ หรือจะรอขึ้นรถบัสก็ได้ (ไม่ได้ถ่ายรูปตอนขึ้นรถบัสมาค่ะ ซื้อตั๋วเสร็จก็วิ่งขึ้นรถเลย)

พอถึงสถานีเคเบิ้ลคาร์แบบ 6 ที่นั่ง จะมีสองแถวแยกกันคือคนที่มาเป็นกลุ่มทัวร์กับคนที่มาเดี่ยวๆ หรือเป็นกลุ่มเล็กๆ คนเยอะมากกกกกก ขนาดออกเช้าๆ มาถึงที่นี่ยังต้องต่อแถวนานกว่าจะได้ขึ้นรถเคเบิ้ลเลยค่ะ

วิวจากเคเบิ้ล เห็นทะเลสาบเล็กๆ สีฟ้าจัดด้วย ส่วนเมือง Engelberg นี่ดูค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ ตามความสูงของเคเบิ้ล ดูแล้วน่ารักเหมือนบ้านตุ๊กตาจริงๆ

พอถึงสถานี Trubsee ก็ต้องออกจากเคเบิ้ลคาร์อันแรกแล้วไปเปลี่ยนเป็นกระเช้าไฟฟ้าที่จุคนได้จำนวนมากแทน (ก่อนถึงสถานีนี้เคเบิ้ลคาร์จะเคลื่อนที่ผ่านสถานี Gerschnialp แล้วเปิดประตูให้คนลงได้ แต่ไม่ต้องลงให้ขึ้นไปจนสุดที่สถานี Trubsee เลยค่ะ)

ตรงกระเช้าไฟฟ้าแบบนี้แนะนำว่าถ้าไม่ได้เข้าไปเป็นคนแรกๆ ก็ให้เลือกเข้าเป็นคนท้ายๆ จะดีกว่าค่ะ พอเข้าไปแล้วให้รีบเดินไปที่หน้าต่างเลย ฝั่งไหนก็ได้ แต่ห้ามยืนตรงกลางเพราะจะมองอะไรไม่เห็นเลย (โดนเบียดอีกต่างหาก T[]T)

วิวจากกระเช้าไฟฟ้าสวยมากเลยนะคะ เห็นหิมะบนภูเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ Titlis นั้นเป็นภูเขาที่สูงประมาณ​ 3 กิโลเมตร เลยมีหิมะปกคลุมตลอดปีเลย แต่ช่วงหน้าร้อนแบบนี้ต้องรอให้ขึ้นไปสูงอีกซักหน่อยถึงจะได้เห็นหิมะเยอะๆ ค่ะ

และแล้วก็มาถึงสถานี Stand ที่มีกระเช้าไฟฟ้าที่หมุนรอบตัวเอง 360 องศา แล้วค่ะ กระเช้าอันนี้เป็นรุ่นใหม่ด้วย กระจกใสแจ๋วเลยค่ะ เข้าไปได้แล้วยืนชิดกระจกรอไว้เลย ตรงไหนก็ได้เพราะยังไงกระเช้าก็หมุนรอบตัวเองทำให้เราได้เห็นวิวครบทุกด้านอยู่ดี

กระเช้าไฟฟ้าอีกอันที่เดินทางสวนกันค่ะ มองจากตรงนี้แล้วมันน่ารักมุ้งมิ้งมากๆ กลมๆ วิ่งขึ้นลงรับผู้โดยสาร แล้วยังหมุนๆๆ รอบตัวด้วย (ไม่ต้องกลัวว่าจะเวียนหัวนะคะ หมุนช้ามากๆค่ะ)

วิวรอบๆ นี่อลังการงานสร้างมากมาย ไม่ว่าจะมองไปตรงไหนก็มีแต่ภูเขาสูงๆ กับหิมะเต็มไปหมด ตรงนี้เราอยู่เกือบๆ จะ 3 กิโลเมตร จากพื้นดินแล้วนะคะ

พอออกจากกระเช้าไฟฟ้าก็จะได้เห็นวิวสวยๆ เต็มๆ ตาแบบนี้เลยค่ะ มีภูเขาสูงๆ ทอดตัวเรียงกันสุดลูกหูลูกตา ไม่ว่าจะมองไปตรงไหนก็งดงามไปหมด

จากตัวอาคารที่กระเช้าไฟฟ้าจอด ให้ขึ้นลิฟท์มายังชั้นบนสุดแล้วจะได้ออกมายังลานหิมะที่จะเห็นยอดเขา Titlis ได้ชัดๆ เลย (ขอบอกว่านักท่องเที่ยวเยอะมากกกกกกก เคยมาที่นี่เมื่อปี 2009 นักท่องเที่ยวน้อยนิด เดินได้แบบที่นี่เป็นของเราเลยค่ะ แต่ว่ามาปี 2016 แทบจะเบียดกันเดินจริงๆ ภูเขา Titlis ได้กลายเป็นภูเขายอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวจากอินเดียไปแล้ว ขนาดมีสแตนเป็นรูปจากภาพยนตร์เลย!)

นี่ล่ะค่ะ ภูเขา Titlis มียอดแหลมชัดเจนเป็นเอกลักษณ์มากๆ เราชมได้อย่างเดียวเค้าไม่อนุญาตให้ขึ้นไปปีนหรอกนะคะ

ตรงจุดชมยอดเขานั้นเป็นลานหิมะ มีแต่หิมะๆๆๆ เต็มไปหมด ลานก็กว้างมากด้วย มีจุดที่เดินขึ้นไปชมวิวได้หลายจุด เค้าทำเส้นเชือกกั้นเอาไว้ว่าตรงไหนไม่ควรเดินไปใกล้ ถ้าเราเดินตรงลานหิมะก็ปลอดภัยหายห่วง (ข้อดีของการไปตอนหน้าร้อนคือมันจะไม่หนาวมาก ขนาดมีหิมะเต็มไปหมดแบบนี้ยังเดินได้สบายๆ เลย)

ที่ชอบมากคือมีเนินเขาสูงกว่าลานหิมะอยู่ใกล้ๆ พอเราเดินขึ้นไปสูงพอประมาณแล้วก็สามารถสไลด์ตัวลงมาได้ด้วย สนุกมากเลยค่ะ >___< (ต้องดูดีๆ ว่าจุดที่เราจะเลื่อนลงไปไม่มีคนกำลังเดินขึ้นมาด้วยนะคะ)

สำหรับคนชอบที่สูง แนะนำให้เสียเงินเพิ่ม 12 CHF เพื่อขึ้นนั่ง Ice Flyer เป็นที่นั่งบนกระเช้าแบบเปิดซึ่งจะแล่นข้ามลานหิมะกราเซียร์ของเทือกเขาทิทลิสค่ะ (งานนี้ขอผ่านค่ะ)

อีกหนึ่งไฮไลท์ของภูเขา Titlis ก็คือการเดินข้ามสะพานแขวนที่สูงที่สุดในยุโรปกัน งานนี้ฟรีค่ะ สามารถเดินข้ามไปชมวิวสวยๆ ที่ปลายสะพานได้เลย

ขอบอกเลยว่าพอเหยียบสะพานเราก็จะรู้สึกว่ามันแกว่งนิดๆ เลยค่ะ ต้องปรับตัวซักพักถึงจะชินกับการโอนไปเอียงมาของตัวสะพานรับกับการเดินผ่านของผู้คน

วิวจากมุมสูงค่ะ มองลงไปแล้วมันถึงเข้าใจว่าเราอยู่สูงแค่ไหน หิมะเพียบเลยด้วย ยิ่งเดินไปถึงปลายสะพานก็จะยิ่งเห็นภูเขามากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ

พอเดินด้านนอกจนพอใจแล้ว ต่อไปเราก็จะเข้าไปเที่ยวด้านในอาคารกันบ้าง ข้างในนั้นเค้าจัดนิทรรศการ Gracier Cave เป็นถ้ำน้ำแข็ง ทุกอย่างเป็นน้ำแข็งหมดเลย รวมทั้งพื้นทางเดินบางส่วนด้วย ระหว่างทางก็จะมีงานประติมากรรมจากน้ำแข็งให้ดูเป็นระยะๆ ข้างในหนาวมาก (เดินตอนแรกต้องระวังหน่อยนะคะ น้ำแข็งมันลื่น)

สำหรับคนที่มีแผนจะไปทานอาหารกลางวันข้างบนภูเขาแล้วอยากจะประหยัด ขอแนะนำให้ซื้อขนมปังขึ้นไปเอง เค้าจัดทำที่นั่งไว้กินอาหารกลางวันไว้หลายจุด มีทั้งด้านนอกอาคารกินไปชมวิวรับลมเย็นๆ ไปด้วย และแบบที่นั่งพักในอาคารตามชั้นต่างๆ มีเก้าอี้อย่างดีเลย นั่งพักได้อุ่นๆ ด้วย ถ้าอยากเลี่ยงนักท่องเที่ยวเยอะๆ ให้เข้ามาจองที่นั่งราวๆ 11.30 น. เพราะคนยังจะเที่ยวอยู่ด้านนอก พอเที่ยงถึงบ่ายนี่จะมีคนเยอะหน่อย อาจจะหาที่นั่งยากค่ะ

ตอนขากลับก็ขึ้นกระเช้าไฟฟ้าลงเหมือนตอนขามาเลยค่ะ เพียงแต่ตอนกลับรอบนี้เจอคนลงพร้อมๆ กันเยอะมาก โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบทัวร์กลุ่มใหญ่ๆ นี่น่ากลัวเลย ยิ่งกรุ๊ปอินเดียยิ่งวุ่นวายค่ะ เค้าจะเบียดเรา ผลักเรา แซงคิว ทำทุกอย่างให้ได้ไปก่อน ยังไงถ้าไปตอนเจอกรุ๊ปทัวร์ลงก็อย่าไปแย่งเค้านะคะ ปล่อยให้เค้าไปก่อนแล้วเราค่อยไปแบบสงบๆ ทีหลังจะดีกว่า

ตอนขากลับสถานีรถไฟขอแนะนำให้เดินกลับค่ะ แค่เดินเลียบแม่น้ำสายเล็กๆ นี้ไปเรื่อยๆ จนเจอสะพาน ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร แต่ว่าวิวสองข้างคือสวยมาก เดินเพลินมากจริงๆ ค่ะ

สวยเหมือนเดินอยู่ในโปสการ์ดเลย! วิวรอบๆ มีทั้งภูเขาสูงๆ มีป่าสนเขียวชะอุ่ม มีบ้านหลังเล็กๆ มีสนามหญ้าที่มีดอกหญ้าสีเหลืองขึ้นเต็มไปหมด มองไปตรงไหนๆ ก็รู้สึกประทับใจค่ะ

วันนี้ก็ขอจบการเดินทางในวันที่สองไว้แค่นี้ค่ะ ส่วนวันที่สามเราจะไปเที่ยวน้ำตกกัน ติดตามอ่านต่อได้ที่บลอคถัดไปนะคะ

718 views0 comments

Recent Posts

See All
bottom of page