top of page

เมืองน้ำหอม Cologne 

ทำความรู้จักเมืองโคโลญจ์

เมือง Cologne รู้จักกันในภาษาเยอรมันว่าเมือง Köln (ออกเสียงประมาณว่า "เคิล์น") เป็นเมืองเก่าแก่ที่สร้างมาตั้งแต่ยุคอาณาจักรโรมันโบราณที่แผ่ขยายอำนาจเข้ามาในดินแดนแถบแม่น้ำไรน์ราวๆ ค.ศ. 50 (เกือบจะสองพันปีแล้วค่ะ) เมืองโคโลญจ์โดดเด่นด้วยมหาวิหาร Kölner Dom เรียกได้ว่าเป็นแลนมาร์กประจำเมืองเลย ส่วนคอพิพิธภัณฑ์ต้องชอบที่นี่แน่ๆ เพราะว่ามีพิพิธภัณฑ์ดีๆ หลายแห่งให้เข้าเยี่ยมชม ส่วนตัวเมืองนั้นประกอบไปด้วยเมืองเก่าที่ดูสวยงามและเมืองใหม่ที่ดูทันสมัยเต็มไปด้วยร้านค้าบนถนนหลายสาย

 

วิธีการเดินทางไปเมืองโคโลญจ์

รถไฟ - เป็นวิธีเดินทางมาเมืองโคโลญจ์ที่สะดวกที่สุด สถานีรถไฟเมืองโคโลญจ์ในภาษาเยอรมันคือ Köln Hauptbahnhof (Köln Hbf) เป็นศูนย์รวมเส้นทางการเดินทาง มีรถไฟใหญ่ๆ จากต่างประเทศและในประเทศมาจอด เรียกได้ว่าเป็นจุดเชื่อมต่อที่เดินทางสบายไปได้ทุกที่เลยค่ะ

 

เมืองโคโลญจ์เป็นเมืองที่เดินทางไปเที่ยวได้ง่ายมาก สถานีรถไฟคืออยู่ในใจกลางเมืองติดกับมหาวิหารเลย ไม่ว่าจะมาจากเมืองไหนของประเทศเยอรมันก็ทำได้สะดวกทั้งนั้นค่ะ ส่วนที่เจ๋งที่สุดก็คือตอนมาถึงสถานีนี่ล่ะค่ะ เพราะรถไฟต้องผ่านสะพานข้ามแม่น้ำไรน์ เราจะได้เห็นมหาวิหารมารอต้อนรับใกล้ๆ อีกด้วย ส่วนภายในสถานีนั้นตกแต่งแบบทันสมัยเลย มีทุกอย่างโดยเฉพาะร้านค้าขายอาหารยามเร่งด่วน

สิ่งที่น่าสนใจ

มหาวิหารแห่งเมืองโคโลญจ์

สุดยอดสิ่งก่อสร้างของเมืองนี้ก็คือ Kölner Dom ซึ่งเป็นมหาวิหารประจำเมืองนี่ล่ะค่ะ เรียกได้ว่าแค่ก้าวขาออกมาจากสถานีรถไฟ ก็ต้องตกใจกับความใหญ่โตของตัวมหาวิหารกันแล้ว

ที่นี่มีประวัติการก่อสร้างที่ลุ่มๆ ดอนๆ มาก เริ่มสร้างกันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1248 เพื่อใช้เป็นที่เก็บพระธาตุของสามกษัตริย์ (ที่ไปเข้าเฝ้าพระเยซูตอนที่ทรงประสูติ) แต่ว่าก็สร้างไปหยุดไปเงินหมดบ้างเปลี่ยนแผนการก่อสร้างบ้าง จนในที่สุดก็สร้างเสร็จกันในศตวรรษที่ 19 นี้เอง ทำให้กินเวลาสร้างไปหกร้อยกว่าปี!

 

แต่ว่าเคราะห์กรรมของมหาวิหารแห่งโคโลญจ์ก็ยังไม่จบเท่านี้นะคะ ต่อมาเกิดสงครามโลกขึ้น ฝ่ายพันธมิตรได้ทิ้งระเบิดทำลายเมืองจนราบ ตัวมหาวิหารเองก็ถูกใช้ให้เป็นแลนมาร์กในการทิ้งระเบิด ทำให้โดนลูกหลงสร้างความเสียหายบางส่วนกับตัวอาคาร 

พอจบสงครามก็เลยต้องบูรณะกันอีกครั้ง (ทั้งๆ ที่เพิ่งสร้างเสร็จไปเองแท้ๆ) แล้วต่อมาก็ได้รับการยกย่องจาก UNESCO World Heritage ให้กลายเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1996 และได้รับการดูอย่างดีตั้งแต่นั้นมาค่ะ

 

พอออกจากสถานีรถไฟแล้วก็จะได้เจอกับความอลังการของมหาวิหารเมืองโคโลญจ์แบบนี้เลยค่ะ

ตรงนี้ยอดหอคอยคู่ของมหาวิหาร สามารถซื้อบัตรขึ้นไปชมวิวสวยๆ ที่ยอดหอคอยได้ด้วยนะคะ

มหาวิหารแห่งเมืองโคโลญจ์นี้สามารถเข้าชมได้ฟรีๆ โดยไม่ต้องเสียเงินเลยค่ะ โครงสร้างของตัวโบสถ์ก็มีความสวยงามตั้งแต่หน้าอาคารที่มีหอคอยคู่สูงชะลูดให้เงยหน้ามอง ไปจนถึงรายละเอียดที่ละเอียดยิบบบบบในการตกแต่งหน้าโบสถ์ ตกแต่งประตูทางเข้า แล้วก็ส่วนด้านในโบสถ์อีกด้วย

ข้างในมหาวิหารนี้สูงมากๆ เพราะเค้ายกระดับเพดานไว้สูงกว่าปกติ ทำให้สร้างบรรยากาศได้สุดขลัง อีกทั้งตัวโครงสร้างที่ออกแบบมาเป็นรูปไม้กางเขนแบบละตินคือ มีทางเดินไปจนถึงแท่นบูชาที่ยาวกว่าปีกอาคารด้านข้าง (นึกง่ายๆ คือเหมือนไม้กางเขนเป๊ะๆ) ทำให้รู้สึกว่ากำลังเดินเข้าไปในอาณาเขตที่มีความศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เลยนะคะ

ตามผนังโบสถ์นั้นประดับประดาไปด้วยกระจกแก้วสารพัดสีเป็นเรื่องราวของศาสนาคริสต์ค่ะ เดินดูเท่าไหร่ก็ไม่มีทางเบื่อแน่ๆ ยิ่งถ้าได้ไปในวันที่แดดจัดๆ ข้างในโบสถ์นี่เหมือนกับจะเปล่งประกายได้ทีเดียว

วิวจากยอดหอคอย

สำหรับคนที่ชอบชมวิวสูงๆ แนะนำให้ไปปีนยอดหอคอยค่ะ (ถ้ามีแรงปีนบันได 500 กว่าขั้นนะคะ) แม้ว่าบันไดจะชันและมีหลายระดับที่สูงและแคบแต่ว่าวิวข้างบนคือสวยมากกก เห็นสะพานข้ามแม่น้ำไรน์ เห็นอาคารสวยงามต่างๆ วิวดีจริงๆ ค่ะ (แต่ตรงนี้ไม่ฟรีต้องจ่ายเงินด้วย)

 

สะพาน Hohenzollern Bridge

สะพานนี้คือสะพานที่รถไฟวิ่งข้ามแม่น้ำไรน์เพื่อเข้าสู่สถานีรถไฟหลักของเมืองโคโลญจ์ เป็นอีกหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองนี้สามารถไปเดินเล่นบนสะพานชมวิวสวยๆ ของเมืองได้อีกด้วยค่ะ

ตัวสะพานมีการออกแบบที่สวยงามเป็นสะพานโค้งสามหยักต่อเนื่องกันตลอดความกว้างของแม่น้ำไรน์ ไม่ว่าจะมองมาจากริมแม่น้ำหรือจุดชมวิวบนมหาวิหารเมืองโคโลญจ์ก็ดูงดงามไปหมดจริงๆ 

Love Lock

ที่สะพานนี้ยังมีชื่อเสียงเรื่อง "love locks" หรือการคล้องกุญแจที่เป็นตัวแทนของความรักของคู่รักมากมายด้วยค่ะ ว่ากันว่ามีคู่รักจากทั่วโลกมาคล้องแม่กุญแจด้วยกันแล้วก็อธิษฐานให้ความรักยืนยาวก่อนจะทิ้งลูกกุญแจลงแม่น้ำไรน์ไป (บางคู่ก็มีการสลักชื่อใส่แม่กุญแจมาล่วงหน้าเลย)

คือมันโรแมนติกมากกกกกกก เวลาเดินข้ามสะพานนี่แค่ดูรายชื่อกับปีที่เค้าคล้องกันก็เดินยิ้มไปได้ทั้งวันแล้ว ที่น่าทึ่งกว่าก็คือเค้าคาดกันว่าน้ำหนักของกุญแจรวมกันนี่ไม่ต่ำกว่าสองตัน!! แต่ว่าทางการของเมืองโคโลญจ์ก็ไม่ได้ออกมาห้ามหรือตัดแม่กุญแจทิ้งเหมือนบางประเทศแต่อย่างใด (เยอรมันเค้าสร้างสะพานมาดี น้ำหนักกุญแจแค่นี้สะพานเยอรมันไม่มีหวั่นจริงๆ ค่ะ) 

พิพิธภัณฑ์ Museum Ludwig

อาคารหน้าตาทันสมัยตั้งอยู่ใกล้มหาวิหาร เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์โดยได้ชื่อตามผู้ก่อตั้งคือ Peter Ludwig ซึ่งเป็นนักสะสมงานศิลปะ มีทั้งงานภาพวาด งานประติมากรรม จากฝีมือของศิลปินชาวเยอรมันและชาวตะวันตก

 

พิพิธภัณฑ์ Romisch-Germanisches

อีกพิพิธภัณฑ์ใกล้ๆ กันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงอารยธรรมโบราณของชาวโรมัน ที่เป็นผู้ก่อตั้งเมืองโคโลญจ์ ภายในเป็นที่เก็บรวบรวมข้าวของเก่าๆ ซากปรักหักพังของอาคาร สมบัติที่มีค่าทางโบราณคดี เหมาะกับผู้สนใจด้านประวัติศาสตร์

สวน Rhine Garden

ตรงริมแม่น้ำไรน์มีส่วนที่เปิดเป็นสวนสาธารณะเปิดให้ผู้คนมานั่งเล่นกันได้ด้วยค่ะ ตอนที่ไปโชคดีที่ได้เห็นนักแสดงเปิดหมวกมาเป่าลูกโป่งจากฟองสบู่ เด็กๆ นี่เล่นกันสนุกใหญ่เลยค่ะ

ตลาดปลา FischMarkt

ถ้าเดินเลียบแม่น้ำมาเรื่อยๆ ก็จะมาถึงเขตตลาดปลาเก่าแก่ของเมืองโคโลญจ์ ซึ่งที่นี่เค้าค้าขายปลากันในช่วงยุคกลางไปจนถึงยุคสงครามโลก ในสมัยก่อนนั้นพอเรือมาขึ้นฝั่งที่เมืองโคโลญจ์ พ่อค้าขายปลาก็จะนำปลามาขายกันที่นี่ จนได้ชื่อว่าเป็นตลาดปลาประจำเมือง 

 

พอถึงสมัยสงครามโลกนั้นที่นี่โดนถล่มเสียยับ พอเค้าสร้างเมืองกันใหม่ก็เลยปรับเปลี่ยนอาคารตรงนี้ให้กลายเป็นร้านอาหารและโรงแรมแทน ที่นี่ก็เลยมีบรรยากาศชิวๆ สบายๆ เต็มไปด้วยร้านน่านั่งเล่นกินลมชมวิวแม่น้ำไปเลยค่ะ

 

โบสถ์ St. Martin

ยอดแหลมๆ ของโบสถ์ที่อยู่ข้างๆ ตลาดปลาก็คือหอระฆังของโบสถ์เซ็นต์มาร์ตินค่ะ นี่ก็เป็นอีกอาคารหนึ่งที่เสียหายจากระเบิดเมื่อสงครามโลก ดังนั้นเวอร์ชั่นที่เราเห็นอยู่นี้ก็เป็นรูปแบบที่เพิ่งสร้างหลังสงครามโลกเพื่อทดแทนโบสถ์เก่าแก่จากศตวรรษที่ 12  

จตุรัส Alter Markt

ย่านที่คึกคักที่สุดในเมืองโคโลญจ์ก็คือแถวๆ จตุรัสตลาดเก่า Alter Markt แห่งนี้ล่ะค่ะ ตั้งแต่เช้าจนค่ำจะมีผู้คนมาเดินหาของอร่อยๆ กินกัน ยิ่งวันไหนแดดดีๆ ที่นั่งด้านนอกร้านอาหารคือเต็มไปด้วยผู้คนเลย 

ที่นี่มีประวัติยาวนานมากๆ เป็นตลาดมาตั้งแต่สมัยของชาวโรมันเมื่อเกือบสองพันปีก่อนแล้วด้วย ในสมัยนั้นตรงนี้เป็นเขตท่าเรือติดกับแม่น้ำเลย แต่พอเวลาต่อมาแม่น้ำก็ตื้นเขินลงบ้างจึงเพิ่มพื้นที่ให้กับตัวจตุรัสแล้วก็เลยเปลี่ยนมาทำหน้าที่เป็นตลาดอย่างเดียวตั้งแต่ช่วงยุคกลาง  

เขตถนนช้อปปิ้ง

ถนนช้อปปิ้งของเมืองโคโลญจ์อยู่ที่ถนน Hohe Straße และ Schildergasse คือมีทุกอย่างที่อยากจะซื้อตลอดแนวความยาวของถนนเลยค่ะใครไม่ชอบพิพิธภัณฑ์ไม่ชอบเข้าโบสถ์ก็แนะนำให้มาเดินเล่น ส่องสินค้าแปลกตาได้ที่แหล่งช้อปปิ้งของเมือง เดินได้เพลินๆ ทั้งวันเลย (ยกเว้นวันอาทิตย์ที่ร้านต่างๆ จะปิดทำการ)

จะบอกว่าประทับใจในความเป็นระเบียบเรียบร้อยของคนเยอรมันมากๆ ค่ะ ไม่ว่าถนนจะวุ่นวายขนาดไหน เค้าก็แบ่งแถวกันเดินโดยไม่ต้องให้ใครบอกด้วย! เดินชิดขวาตลอดถนนไม่เดินชนกันเลย  

พิพิธภัณฑ์ช็อคโกแลต

                                   พิพิธภัณฑ์นี้สร้างมาเพื่อคนรักช็อคโกแลตโดยเฉพาะ!!

ตัวพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่บนเกาะน้อยริมแม่น้ำไรน์ เปิดให้เข้าชมขั้นตอนการผลิตช็อคโกแลต ภายในแสดงประวัติของโกโก้ตั้งแต่ยุคของชาว Aztecs และ Maya ซึ่งเป็นผู้เริ่มต้นการใช้ผงโกโก้มาทำเครื่องดื่ม ไปจนถึงตอนที่ชาวยุโรปนำกลับมาผลิตเป็นช็อคโกแลตที่เรารู้จักกันเลย  

สำหรับคนที่สนใจในขั้นตอนการผลิต เค้ามีจัดแสดงการทำช็อคโกแลตแท่งเล็กๆ ให้ดูโดยใช้เครื่องจักรจริงๆ ดูกันเพลินๆ แล้วก็สามารถไปต่อแถวขอชิมเวเฟอร์จุ่มช็อคโกแลตร้อนๆ กันได้ด้วยนะคะ (จะบอกว่าภายในพิพิธภัณฑ์หอมช็อคโกแลตมากกกกก) 

ถนภายในพิพิธภัณฑ์มีการจัดแสดงพวกแพ็คเกตช็อคโกแลตสมัยก่อนด้วย บางอันคือแบบหรูเลย เปิดมานี่นึกว่าของเล่นแต่ว่ามันคือช็อคโกแลตจริงๆ ว่ากันว่าตอนที่โกโก้เข้ายุโรปใหม่ๆ นั้นมีแต่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะได้ดื่ม ถึงว่าทำแพ็คเกตกันซะสวยหยดเลย ตอนออกจากพิพิธภัณฑ์อย่าลืมแวะลองชิมเครื่องดื่มจากโกโก้และเค้กช็อคโกแลตของทางพิพิธภัณฑ์ที่ชั้นล่างด้วยนนะคะ อร่อยทุกอย่างเลยค่ะ
 

ข้อควรรู้ก่อนไป Tower Bridge

สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองโคโลญจ์อยู่ใกล้ๆ กัน สามารถเดินเท้าเที่ยวได้ทั่วเมือง โดยไม่ต้องพึ่งระบบขนส่งแต่อย่างใด

ถ้ามาเที่ยวในวันอาทิตย์ควรจัดทริปเป็นเข้าชมชมพิพิธภัณฑ์จะดีกว่าช้อปปิ้ง เพราะว่าร้านค้าจะปิดบริการเกือบทั้งเมือง

น้ำหอมชื่อดังยี่ห้อ 4711 มีร้านต้นตำรับอยู่ใกล้ๆ กับมหาวิหาร แต่ก็สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไปเช่นกัน

ขวดเครื่องดื่มหลายยี่ห้อสามารถนำไปแลกคืนเงินที่ร้านค้าได้ด้วย ลองสังเกตที่ป้ายฉลากข้างขวดดูนะคะ (เค้าจะนำขวดไปรีไซเคิลอีกที)

ถ้าอยากหาบริเวณที่มีร้านอาหารหลากหลาย แนะนำให้ไปที่จตุรัส Alter Markt (มีร้านอาหารไทยสไตล์เยอรมันด้วยนะคะ)

อย่าตกใจกับปริมาณอาหาร 1 จาน ที่เสิร์ฟกันในเยอรมันนี เรียกได้ว่า 1 จานนี่อิ่มไปได้นานเลย (ถ้าจะแชร์อาหารกันควรถามพนักงานก่อนว่าทางร้านอนุญาตหรือเปล่าด้วยนะคะ)

อ่านบทความน่าสนใจต่อได้เลยค่ะ
bottom of page